Politics: Bangkok up-for-grabs in next election as turmoil hits every party

By Ranger, Thai Intel’s political journalist

  • Bangkok enters election mode in un-known territory

Yesterday, a high profile Democrat Party member and what can be called a typical Democrat Party supporter-resigned from being a member of the party (His resignation letter follows at the end of this analysis).

Then the Yellow Shirt, strongest in Bangkok philosophically but not very much other-wise-is attacking the Democrat Party-along very much the same line that that high profile Democrat Party member that resigned.

Also a Yellow Shirt leaning group of Democrat Party MPs, with one who just won a by-election, in Bangkok-got caught up in the Thai Cambodian crisis-being sent to spy on Cambodia by the Thai prime minister of the Democrat Party, Abhisit.

And the Bangkok’s Democrat Party governor-have been consistently rated very lowly in his performances.

But things does not look all that positive for Pheu Thai Party-either.

Then days, before that, a former Taksin close friend, Purachai, who has a reputation of being a clean and non-corrupt politician and with the good looks-also said he was formin g a new political party-especially to crack Bangkok.

Rajprasong News, the main Red Shirts and related Twitter that is read by about 20,000 Thai and foreigners a day, immediately Twittered, quote: Purachai move is the Amart (royalist, elite and military rulers of Thailand) to counter Pheu Thai Party of Taksin in Bangkok.

Things for the Phue Thai Party, in Bangkok, could in fact look much worse!

Sudarat, a Pheu Thai Party icon of the past and strong in Bangkok-is said to be un-happy with how the Bangkok candidates of Pheu Thai Party are going to be selected, and thus, there are speculation that she is going to with-draw her support for the Pheu Thai Party.

Then the Bangkok Group of high-society and connected Bangkokians-who came out in support of the Pheu Thai Party in Bangkok, based on the Pheu Thai Party democracy-leaning policies-have made statements in the past-also indicating some un-happiness.

Then Chalerm, the “fun to watch and follow” politician of the Pheu Thai Party, have also distanced himself from the Pheu Thai Party.

The Pheu Thai Party strong point, in Bangkok, off course is the Red Shirts-that have cornered much of the lower-middle class down in Bangkok. But the Democrat Party, have just increased the salary of civil servants, that heavily populate Bangkok and surroundings and there are many military bases in Bangkok.

The bottom line is that Bangkok and surrounding is very heavily populated, resulting some 20-50 MPs in the area-which is a major chunk.

 

The following is the resignation letter:

วันที่ 29  มีนาคม  พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ  ได้เผยแพร่ “หนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์” ผ่านสื่อต่างๆ  เนื้อความของหนังสือลาออก มีใจความ ดังนี้

….กราบเรียนท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

กระผมนายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ประเภทสามัญเลขที่ 43414075 โดยผมได้สมัครเป็นสมาชิกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541 ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะต้องตกเป็นฝ่ายค้านเพราะความนิยมกำลัง ถาโถมไปที่พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไป และพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท. ทักษิณก็ได้เป็นรัฐบาลสมัยแรก

(I, P. Taosuwarn, a member of the Democrat Party, since the time Taksin was gaining popularity and an election looms that eventually the Democrat Party lost to Taksin)

ตอนนั้นตัวกระผมเองได้หอบหิ้วปริญญาตรีและโทกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจไม่นานนัก พร้อมกับความเชื่อที่ว่าคนเราทุกคนควรมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อสร้างสังคม ที่ดี และการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได

(At that time, I just returned from the USA to Thailand with a Master’s Degree. Then I thought it would be a good deed to enter politics)

ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น ผมเฝ้าติดตามความเป็นไปของการเมืองไทยในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมุ่งหวังที่จะเดินเข้าไปสู่สนามการเมืองแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้กำลังกาย สมอง เวลา และโอกาสเท่าที่มีในการตอบแทนสังคมบ้างทั้งในฐานะอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือนักเขียนมือสมัครเล่นในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี

(For the past 10 years I have observed Thai politics and have been a university teacher and a writer of my observers to the local media, on some occasions)

สาเหตุที่ตอนนั้นกระผมตัดสินใจส่งใบสมัครมาที่พรรคประชาธิปัตย์แทนที่จะ เป็นพรรคไทยรักไทย ซึ่งสมัยนั้นจะมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยกว่า และกำลังอยู่ในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นทั้งในสังคมเมืองและสังคมชนบท ก็เพราะว่า ตัวผมเองไม่เคยเชื่อเลยว่าเจ้าของกลุ่มทุนผูกขาดอย่าง พ.ต.ท. ทักษิณจะมีความจริงใจที่จะเสียสละในการเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติได้อย่าง แท้จริง

(The reason I decided to become a Democrat Party member was because I doubt Taksin could be truly interested in helping the people of Thailand)

แต่มีความเชื่อว่าเนื้อแท้ของกลุ่มทุนผูกขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ สัมปทานของรัฐมักจะต้องเอารัดเอาเปรียบประชาชนอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นพรรดการเมืองที่เก่าแก่ยาวนาน มีความเป็นสถาบันการเมืองมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ในสังคมการเมืองไทย

(But I had the belief that Taksin and his concession from the state will take advantage of the Thai people, while the Democrat Party is long established and is a political institution)

แต่วันและเวลาสอนให้ผมได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติของการเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมีความลึกซึ้งมากกว่าภาพที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นอยู่บนเวทีการเมืองที่เป็นทางการอยู่มากนัก แต่สำหรับผมแล้ว ช่วงเวลาสิบกว่าปีนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นเนื้อแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็น อย่างดีในระดับหนึ่ง และทำให้ผมได้คำตอบมาระยะหนึ่งแล้วว่าตัวเองนั้นคิดผิด ซึ่งผมขอประมวลเหตุผลมาประกอบดังต่อไปนี้

(The time has taught me many lesson that politics is much deeper than can be seen. This past 10 years have taught me about the true nature of the Democrat Party)

1. พรรคประชาธิปปัตย์จะไม่มีวันชนะใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ เพราะขาดความจริงใจมุ่งแต่สร้างภาพจอมปลอม ประโยคนี้เป็นสัจธรรมเสมอ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคประชาธิปปัตย์และน่าจะเป็นจริงตลอดไปด้วย ตราบใดที่จะยังคงมีพรรคนี้อยู่ในเวทีการเมืองไทย   เพราะประวัติศาสตร์บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มักจะได้อำนาจรัฐหรือได้เป็น รัฐบาลโดยการเพลี่ยงพล้ำของพรรคขั้วตรงข้าม และมีพลังอำนาจพิเศษที่มาหนุนอยู่ตลอด

(The Democrat Party can never win the majority of Thai people because it is only interested in building a good image. And in the history of Thai politics, the Democrat Party have gained power because of the government mistake of from the help of the “Invisible Hand”)

ดังนั้นลักษณะของพรรคประชาธิปัตย์จะมักจะเชิดคนที่มีภาพลักษณ์ดี(สำหรับ สังคมไทย) กล่าวคือมักจะเป็นคนที่มีลักษณะความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน หรือมีชาติตระกูลสูง หรือแม้กระทั่งคนมีหน้าตาดี นอกจากนี้อาจจะมีการเชิดชูภาพของความซื่อสัตย์เป็นจุดขาย แต่จะสังเกตได้ว่านั่นมักจะเป็นเพียงหน้าฉากของผู้นำพรรคเท่านั้น

(Therefore the Democrat Party typically would support people with a good image and character as a sales tactic to society. But that can be seen as just putting up a good face)

แต่เบื้องหลังของผู้นำพรรคหรือแม้กระทั่งเบื้องหลังหน้ากากอันสวยหรูของ ผู้นำพรรค ก็มักจะมีบรรดานักการเมืองสกปรกที่หิวโหยอยู่ข้างหลังอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นพรรคประชาธิปปัตย์จึงไม่เคยนำเสนอแนวทางในการบริหารพัฒนาบ้านเมือง อันใดได้เลย ที่ทำอยู่ก็จะมีเพียงนโยบายเฉพาะกิจ หรือเพื่อการประชาสัมพันธ์หาเสียงเท่านั้น มุ่งจะเล่นแต่การเมืองแต่ไม่เคยพัฒนาบ้านเมือง

(But behind the scene of that god image, hides very corrupt politician. Therefore there is never any good policy but just policy to win the political game)

2.  การมุ่งเล่นแต่การเมือง ทำให้บรรดานโยบายของพรรคที่ออกมา ขาดพื้นฐานด้านข้อมูลที่เป็นจริง ขาดการศึกษาและวิเคาระห์ถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่แก่ที่สุด แต่ก็ไม่เคยมีนโยบายเป็นของตัวเองมาก่อน บรรดานโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการคัดลอกและดัดแปลงมา จากนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในอดีตทั้งสิ้น

(That focus on image, result in policies that does not address the problem of Thailand. Even being the oldest political party in Thailand, the Democrat Party never has its own policies, but is just copying other party’s policies like the populous policies of Taksin)

แต่น่าเสียใจว่าการคัดลอกดัดแปลงนั้นกลับทำได้ย่ำแย่กว่าสมัยที่พรรคไทย รักไทยเป็นรัฐบาลเสียอีก พรรคประชาธิปัตย์เข้าใจว่าการที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย เป็นเพราะประชาชนหิวโหยในผลประโยชน์ ดังนั้นการเข้ามาของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเริ่มต้นด้วยการหว่านโปรยผลประโยชน์

(But it is unfortunate that in that copying of Taksin, the Democrat Party cannot match Taksin. The Democrat Party believes that the voters are interested in freebies and so when it came to power, they just started with giving freebies)
ตั้งแต่นโยบายแจกเงินกินเปล่าให้ประชาชนหัวละสองพันบาท แต่จะเห็นได้ว่าการแจกเงินกินเปล่าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมของพรรคสูง ขึ้น กลับลดลงเสียด้วยซ้ำ เป็นเพราะเหตุใด? ก็เพราะว่าวิธีการแจกเงินสองพันบาทโดยใช้ฐานข้อมมูลประกันสังคมนั้นไม่ สามารถจะนำเงินไปสู่คนยากคนจนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง ไปได้แค่เพียงคนชั้นกลางซึ่งมีข้อมูลอยู่ในทะเบียนฯเท่านั้น นโยบายนี้เหยียบย่ำหัวใจคนยากคนจนที่ส่วนใหญ่ที่ยากไร้ไม่มีที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย จะมีประกันสังคมได้อย่างไร

(But like giving the people the 2,000 baht freebies, it did not help the Democrat Party popularity. Why, because the money did not reach the poor but only the middle class with information)

ในขณะที่นโยบายที่ลอกและสานต่อจากนโยบายไทยรักไทยอย่างโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์หรือที่เรียกกันว่าโอท๊อป ซึ่งภาครัฐเคยจัดงานที่อิมแพคเมืองทองธานีเป็นประจำทุก ๆ ปี เป็นงานกึ่งตลาดนัดกึ่งแสดงสินค้า ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม จากผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ตลอดจนจากผู้บริโภคทั่ว ๆ ไป พอรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารก็ได้ย้ายสถานที่จัดงานมาตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทั้งตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ทั้งในลานเอนกประสงค์หน้าห้างฯ บริเวณรอบสนามกีฬาแห่งชาติ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมางานโอท็อปก็ต้องพับฐานลงอย่างน่าเสียดาย

(One of Taksin policy was OTOP. But the Democrat Party came to power, it was the end of OTOP because of bad policies)

ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งสถานที่จัดงานกระจัดกระจาย สภาพอากาศที่ไม่อำนวย ทำให้จำนวนคนเข้าชมงานลดน้อยลงอย่างมาก ผู้ค้าซึ่งมาจากต่างจังหวัดนอกจากจะขายสินค้าไม่ได้ ยังต้องแบกภาระค่ากินนอนเข้าไปอีกเพราะอดีตที่เคยอาศัยบริเวณจัดงานในอิมแพ คฯก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร หัวอกคนยากคนจนและคนทำมาหากินซึ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่เคยเข้าใจและคงไม่มี วันจะเข้าใจได้ สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำได้อย่างเชี่ยงชาญก็คือการใส่ไคล้ทำลายและช่วงชิง โอกาส ซึ่งล้วนเป็นเกมการเมืองทั้งสิ้น

(Because of many problems, the people who goes to see the OTOP fell. The Democrat Party will never understand the poor because it is only good at political games)

3. บริหารไร้ประสิทธิภาพแต่โกงเป็นมาตรฐาน ด้วยนโยบายหว่านผลประโยชน์กับการสร้างภาพของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้รัฐต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นมากมาย จะเห็นได้ว่ามีการกู้เงินมหาศาลกว่ารัฐบาลใดในอดีตเสียอีก แต่ลำพังการกู้นั้นมิสามารถทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายไร้ประสิทธิภาพเหล่านั้น ต่อไปได้มากนัก

(The Democrat Party management is ineffective with corruption as the standard, with massive borrowings that can not solve any problems)

รัฐบาลชุดนี้จึงมีกระบวนการสร้างภาระโดยการรีดภาษีจากคนชั้นกลางในมิติ ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศมีความฝืดเคืองมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะรัฐบาลนอกจากไม่ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศแล้ว กลับบั่นทอนกำลังการบริโภคของประชาชนไปเสียอีกด้วย

(This government is increasing the tax on the middle class and does not promote investments)

ในขณะที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ เราก็มักจะได้ยินข่าวการทุจริตมากขึ้นเป็นลำดับ บรรดาข่าวการทุจริตซึ่งส่วนใหญ่มาจากนโยบายจัดซื้อจัดจ้างการรับเหมาก่อ สร้างมากมาย ซึ่งมีรูปแบบคลาสสิคโบราณ และน่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถพัฒนาก้าวข้ามไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับโครงการนมโรงเรียน โครงการรถเมล์ โครงการต้นกล้าอาชีพของรัฐบาล ไปจนถึงโครงการรถเมล์BRT อภิมหาโครงการโมโนเรล โครงการซุปเปอร์สกายวอล์กของกรุงเทพมหานคร และอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่กฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกอภิสิทธิ์ประกาศไว้เมื่อครั้งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลับไม่เคย ถูกกล่าวถึงอีกเลย

(News of corruption in this government is increasing and it is the traditional type of corruption of Thailand. The 9 rule that Abhisit said he will follow, is never talked about again)

4. ไม่สร้างความปรองดองกลับสร้างความแตกแยก ก็ต้องยอมรับว่าในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารประเทศนั้น สังคมไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอย่างหนัก รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาพร้อมกับการต่อต้านของขั้วตรงข้ามในนามกลุ่มคน เสื้อแดง ซึ่งเริ่มก่อรูปมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาลทักษิณ การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงนั้นต้องการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปัตย์และคืน อำนาจแก่อีกขั้วการเมืองเป็นหลัก

(The government does not promote reconciliation but in fact, increased the division in Thailand)

ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้จึงต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้านหลายครั้ง และบ่อยครั้งก็ได้พัฒนาไปถึงการจลาจล ซึ่งครั้งที่รุนแรงมากที่สุดก็คือการเผาเมืองพฤษภาคม2553 ถึงแม้ว่าแก่นแกนของการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ที่พ.ต.ท. ทักษิณ โดยมีแนวร่วมหลายส่วนที่เกี่ยวกับขบวนการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ความเท่าเทียมทางสังคม ฯลฯ

(The Thai political crisis with the Red Shirts protesters that is headed by Taksin, caused the government to have to face the Red Shirts)

ดังนั้นขบวนการคนเสื้อแดงจึงกลายเป็นขบวนการที่ใหญ่และใหญ่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็เกิดอาการฝ่อ และเลือกที่จะสร้างความปรองดองกับขบวนการเสื้อแดงโดยการย่ำยีหลักการของ กฎหมาย ตั้งแต่การที่รัฐบาลไปเป็นแกนเคลื่อนไหวในการประกันตัวบรรดาแกนนำ ตลอดจนการละเว้นการติดตามทางคดีของผู้ก่อการเผาสถานที่ราชการ เอกชน ทำลายและปล้นทรัพย์สินในช่วงเหตุการณ์จลาจล การย่ำยีกฎหมายคือการสร้างความแตกแยกอันบาดลึก แต่เป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าทั้งนี้เป็นไปก็เพื่อจะลอยตัว รักษาอำนาจ และสามารถเป็นรัฐบาลต่อไปได้เรื่อย ๆ หรือเปล่า

(The government chosed to reconcile with the Red Shirts by not sticking to the law, with all the trouble the Red Shirts caused. This not sticking to the law, is about maintaining government power)

5.   สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์เขาพระวิหารแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคประชา ธิปัตย์ได้อย่างชัดเจน เพราะสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์ได้เคยอภิปรายโจมตีในการยื่นยัตติไม่ไว้วางใจนาย นพดล ปัทมะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชเกี่ยวกับบูรณภาพเหนือดินแดนรอบตัวปราสาทเขาพระวิหาร กลับกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ดำเนินการเหมือนกับรัฐบาลพรรคพลัง ประชาชนและตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในสภาอย่างสิ้นเชิง

(The Phra Vihere relics serves as the indicator to the true nature of the Democrat Party, in that while in the opposition, it attacked the Taksin government, but now the government is doing exactly the same thing as the Taksin government)

หมายความว่าพรรคประธิปัตย์สามารถที่จะพูดอะไรก็ได้เพื่อให้เกิดโอกาสใน การที่ตัวเองจะสามารถพลิกผันขึ้นมาถือครองอำนาจรัฐอย่างนั้นหรือ และผลของการบริหารประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังได้ทำให้ประเทศไทยดูเหมือนไร้ เกียรติไร้ศักดิ์ศรี ตกเป็นเบี้ยล่างของบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน จนในที่สุดประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไปด้วยเหตุผลของความ โง่เขลาหรือการมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนก็สุดแล้วแต่ที่จะคาดเดาได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วถ้าศึกษากันดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการเยี่ยงนี้ทำให้ประเทศชาติและสังคม ไทยสูญเสียมาหลายครั้ง

(It means the Democrat Party can say or do anything to remain in power, causing Thailand to lose respect and face in the international community)

ล่าสุดก็ครั้งที่ประเทศมีวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับกรณี ป.ร.ส. ขายหนี้ของบรรดาไฟแนนซ์ที่รัฐบาลสั่งปิดลงไปให้กับบรรดากองทุนต่างชาติ จนทำให้ต่างชาติสามารถกอบโกยผลกำไรอันมหาศาลไปจากสังคมไทย ทิ้งไว้กับกองศพของคนล้มละลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม ผลจากการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลครั้งนั้น ทำให้ธนาคารเกือบทุกธนาคารในประเทศไทยต้องตกเป็นของต่างชาติในที่สุด หรือที่คนทั่ว ๆ ไปเค้าเรียกว่าเสียเอกราชทางการเงินนั่นเอง

(In the past, the selling of the bad asset of the financial crisis by the Democrat Party, cause much of Thailand’s finance industry to fall into the hands of foreigners)

ด้วยเหตุผลเบื้องต้นเพียง 5 ประการนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีอุดมการณ์อะไรเพื่อประโยชน์ ของประชาชนและสังคมไทย พรรคจึงเป็นเพียงมายาภาพหลอกลวงคนที่สิ้นหวังกับการเมืองไทยในชั่วขณะหนึ่ง ๆ เท่านั้น

(With the above 5 reasons, they show that the Democrat Party never has an ideology of helping the Thai people or society. It is just a picture to fool the Thai people for a short period only)

ทุกวันนี้เราจะได้เห็นทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแข่งกันขึ้นป้าย ประชาสัมพันธ์ผลงานกันอย่างบ้าคลั่ง สมกับเป็นการเชิดปี่กลองสู้ศึกในเทศกาลเลือกตั้ง  แต่กลับไม่เห็นรู้สึกถึงผลงานที่ออกมาอย่างกับในป้ายโฆษณาแต่อย่างใด ป้ายโฆษณาเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ผู้คนซึ่งได้รับความลำบากทั้งชาว ไร่ชาวนาที่ถูกกดราคาสินค้าเกษตร ทั้งคนชั้นกลางที่ถูกขูดรีดภาษีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งกับผู้บริโภคทั่วไปที่ถูกตีหัวจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นอย่างไม่เป็น ธรรม ได้รู้สึกเจ็บแค้นอย่างเหนือคำบรรยาย ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งซึ่งหมดศรัทธาต่อพรรคประธิปัตย์ และประสงค์ที่จะลาออกจากสมาชิกพรรคนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

(That is why we see a great deal of public relations efforts but there is no actual deed behind those public relations)

จึงเรียนมาเพื่อทราบ

พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ
ptorsuwan@yahoo.com

Leave a comment